ข้อนี้ขึ้นกับความจำเป็นและการจัดการภายในบ้านของแต่ละครอบครัวเลยค่ะ มีหลายสิ่งหลายปัจจัย เช่น จำนวนลูก อายุ ความแข็งแรงร่างกาย ตั้งครรภ์อยู่รึเปล่า ทำงานนอกบ้านไหม มีครอบครัวญาติพี่น้องช่วยไหม หรือเรื่องงบประมาณก็สำคัญเช่นกันค่ะ

ข้อนี้ก็ขึ้นกับแต่ละบ้านอีกนะคะ สำหรับบ้านปาล์มน้องไม่ติดพี่เลี้ยงค่ะ แต่เค้ายอมรับได้ว่าเวลาไหนต้องอยู่กับใคร แต่ถ้าเลือกได้ส่วนมากลูกก็จะเลือกเล่นกับพ่อแม่ก่อนค่ะ เพราะต้องเล่าก่อนว่าถึงมีพี่เลี้ยง ปาล์มป๊าพีชก็สลับกันอยู่เล่นกับลูกทั้งวัน เพราะเราทำงานที่บ้าน จะมีแค่บางจังหวะที่เราต้องทำงานพร้อมกัน 2 คนก็จะปล่อยให้เล่นกับพี่เลี้ยงบ้าง เลยเท่ากับเหมือนเราได้ดูแลลูกเองตลอดค่ะ ถึงเวลานอนเราก็เอาลูกเข้านอนกันเองทุกคืนค่ะ หรือถ้าบางวันมีงานสำคัญต้องออกไปข้างนอก ก็จะให้ครอบครัวญาติพี่น้องมาอยู่ช่วยดูลูกด้วย คือจะไม่ทิ้งลูกให้อยู่บ้านกับพี่เลี้ยงตามลำพังค่ะ เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าลูกเราอยู่ในสายตาเราแทบจะตลอด ก็เลยไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยลูกหรือการติดพี่เลี้ยง เพราะเรามีตัวตนสำหรับลูกอยู่เสมอ อารมณ์ลูกหันมาทางไหนก็เจอพ่อเจอแม่ ส่งยิ้มหวานให้กันทั้งวัน ^^

คุยกับรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ค่ะ เค้าแนะนำศูนย์ที่ชื่อว่า kidcare เราก็ลองติดต่อไปเลย โดยที่ยังไม่ได้เปรียบเทียบกับที่อื่นเลยนะ เค้าบริการดีมากส่งประวัติพี่เลี้ยงมาให้เลือกหลายคน จนปาล์มเลือก 1 คนมาสัมภาษณ์ และก็เริ่มทำงานกับปาล์มมาตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ปีกว่าแล้ว เป็นพี่เลี้ยงคนแรกที่มาทำงานดูลูกแล้วเราก็ถูกใจเลย ยังไม่เคยเปลี่ยนมาจนถึงตอนนี้ ถือว่าโชคดีเพราะแม่ ๆ หลายบ้านเล่ามาว่าต้องเปลี่ยนหลายคนมากนะกว่าจะเจอคนที่ถูกใจ 

พี่เลี้ยงเด็ก คือคนที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดกับลูกน้อยของเรารองจากพ่อแม่หรือบางครั้งอาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ หากคุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านทั้งคู่ คงไม่ดีแน่ถ้าลูกน้อยต้องมาติดโรคจากคนที่เราจ้างมาดูแล เพราะในแต่ละวันต้องมีการกอด สัมผัส หรือไอ จาม ใช้สิ่งของบางอย่างร่วมกัน ซึ่งเด็กเล็กนั้นปกติภูมิต้านทานก็ต่ำอยู่แล้วจึงเสี่ยงต่อการติดโรคได้ง่าย การตรวจสุขภาพพี่เลี้ยงเด็กก่อนเริ่มงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น

สำหรับโรคที่พี่เลี้ยงเด็กอาจนำมาติดลูกน้อยของเรานั้นเช่น โรคผิวหนัง, โรคระบบทางเดินหายใจ, เหา, พยาธิ, ไวรัสตับอักเสบ และหากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ยังต้องระวังโรควัณโรค ที่มากับผู้ป่วย HIV  ทั้งนี้ถ้าเป็นการจ้างพี่เลี้ยงเด็กจากศูนย์บางแห่งอาจมีการตรวจโรคมาให้แล้วแต่บางแห่งอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เอง คุณพ่อคุณแม่จึงควรต้องสอบถามรายละเอียดให้ดีก่อนทำการจ้าง

อย่างที่บอกเอาไว้ในตอนต้นว่าการจ้างพี่เลี้ยงเด็กนั้นต้องพิจารณาหลายอย่างด้วยกันซึ่งนอกจากการตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงานแล้วยังต้องดูในเรื่องของทักษะในการดูแลเด็กด้วยไม่ว่าจะเป็นการผ่านการฝึกทักษะในการดูแลเด็กในวัยที่จะต้องมาเลี้ยง, ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของโภชนาการ, การปฐมพยาบาลเบื้องต้น, การดูแลในช่วงเวลาที่เจ็บป่วย แม้กระทั่งเรื่องของจิตวิทยาในการดูแลเด็กและการจัดการอารมณ์ของตัวพี่เลี้ยงเด็กเอง

      ในส่วนของโปรแกรมตรวจสุขภาพพี่เลี้ยงเด็ก ของอินทัชเมดิแคร์คลินิกเวชกรรมนั้น มีด้วยกัน 2 โปรแกรม ซึ่งจะมีรายการตรวจที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ในส่วนที่ทุกคนต้องตรวจคือการตรวจกับแพทย์เพื่อสอบถามประวัติสุขภาพ ถือเป็นการคัดกรองเบื้องต้น ที่นำไปสู่การออกใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันว่าพี่เลี้ยงเด็กจะไม่นำโรคต่างๆ ไปติดลูกของเรา

        รายการต่อมาแพทย์จะตรวจหาสารเสพติดในร่างกาย  ทำการเอกซเรย์ปอดเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีวัณโรคที่อาจติดต่อไปสู่เด็กได้  ตรวจไวรัสตับอักเสบเอ , ตรวจไวรัสตับอักเสบบี ที่เป็นโรคที่สามารถติดต่อได้จากรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มจากภาชนะใบเดียวกัน ติดต่อจากการใกล้ชิดหรือสัมผัสสารคัดหลั่ง และที่สำคัญมากๆ คือตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี และตรวจการติดเชื้อซิฟิลิส เนื่องจาก 2 โรคนี้ในผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการจึงจำเป็นที่ต้องมีการตรวจยืนยันจากแพทย์ว่าไม่ได้ติดเชื้อดังกล่าวอยู่

       รายการตรวจสุดท้ายคือ ตรวจหาเชื้อแบคทีเรียโดยการเพาะเชื้ออุจจาระที่เป็นสาเหตุจากการติดเชื้อในทางเดินอาหาร เช่น เชื้อไทฟอยด์ (typhoid) บิด  (dysentery) เป็นต้น อาจใช้ตรวจหาเชื้อไวรัสที่มีอยู่ เช่น โรคติดเชื้อไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อ (aseptic meningitis) หากเด็กเล็กที่สัมผัสต่อเชื้อดังกล่าวอาจมีอาการรุนแรงได้

       การตรวจสุขภาพพี่เลี้ยงเด็กมีความจำเป็นต้องตรวจทุกครั้งก่อนที่จะเข้าเริ่มงานในบ้านของนายจ้าง เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจ ก่อนที่พี่เลี้ยงจะเข้าไปดูแลเด็กและใกล้ชิดกับบุคคลอื่นๆในครอบครัวของนายจ้างด้วย

        ในกรณีที่พี่เลี้ยงเด็กดูแลเด็กนานเกิน 1 ปี ขึ้นไป แนะนำให้ตรวจสุขภาพพี่เลี้ยงเด็กอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถือเป็นการตรวจสุขภาพประจำปีให้กับพี่เลี้ยง เพราะเมื่อเวลาผ่านไปสุขภาพร่างกายของพี่เลี้ยงเด็กอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือการเกิดโรคต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เพื่อความมั่นใจไร้กังวล ควรตรวจสุขภาพพี่เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ

พี่เลี้ยงเด็กควรได้รับฉีดวัคซีนเสริมร่วมกับการตรวจสุขภาพ เนื่องจากพี่เลี้ยงเด็กคือคนที่อยู่ใกล้ชิด คลุกคลีกับลูกของเรามากที่สุด หากเกิดโรคต่างๆก็จะแพร่เชื้อมาสู่เด็กได้ง่ายที่สุด

วัคซีนเสริมที่แนะนำให้กับพี่เลี้ยงเด็ก มีดังนี้

  1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรให้พี่เลี้ยงเด็กฉีดปีละ 1 ครั้ง

  2. วัคซีน TdaP หรือ วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ในกรณีดูแลเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนที่ภูมิคุ้มกันยังขึ้นไม่ดี

  3. วัคซีน MMR หรือ หัด หัดเยอรมัน คางทูม ในกรณีที่ได้รับไม่ครบ

  4. วัคซีน HAV หรือไวรัสตับอักเสบเอ ฉีด 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ให้ฉีดห่างกัน 6 เดือน

  5. วัคซีน HBV หรือไวรัสตับอักเสบบี ฉีด 3 เข็ม ซึ่งเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน

  6. วัคซีนโควิด-19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

 

        นอกจากการตรวจสุขภาพเพื่อความปลอดภัยต่อลูกน้อยแล้ว พ่อแม่ควรพิจารณาเบื้องต้นและตรวจสอบประวัติของพี่เลี้ยงเด็กด้วยว่า เคยทำผิดกฏหมายหรือต้องโทษใดๆมาก่อนหรือไม่ หากพี่เลี้ยงเด็กเคยมีประวัติไม่ดี ก็จะได้รู้ตัวก่อนล่วงหน้า รวมถึงต้องทราบประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา หรือการทำงานด้านอื่นๆ มาประกอบร่วมด้วย

        การตรวจสุขภาพพี่เลี้ยงเด็กก่อนเริ่มงานนั้น ถือว่ามีความสำคัญตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่ควรทำทั้งเพื่อความสบายใจของคุณพ่อคุณแม่และความปลอดภัยของตัวลูกน้อยเอง สำหรับท่านที่สนใจโปรแกรมตรวจสุขภาพพี่เลี้ยงเด็กของเราสามารถนำพี่เลี้ยงเด็กมาเข้ารับการตรวจได้ที่อินทัชเมดิแคร์คลินิกเวชกรรมทุกสาขาใกล้บ้าน โดยค้นหาจากคลินิกใกล้ฉันใน Google หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากช่องทางการติดต่อบนหน้าเว็บไซต์ของเราได้เลยค่ะ